นิทานสีขาว เรื่อง คุณค่าของกล้วยหอม

คุณค่าของกล้วยหอม

ณ  บ้านน้อยในป่าใหญ่หลังหนึ่ง  มีพ่อกับลูกชายวัยเก้าขวบที่เป็นใบ้อาศัยอยู่ด้วยกัน  พ่อคนนี้เป็นคนที่เคร่งครัดในศาสนามาก  ทุกๆ  เช้าและก่อนนอน  ผู้เป็นพ่อจะนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูปขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วพร่ำสวดมนต์ด้วยน้ำเสียงอันดังเป็นเวลานาน  ด้วยความเป็นคนที่เคร่งครัดในศาสนา  ผู้เป็นพ่อจึงอยากให้ลูกชายมีการปฏิบัติเช่นเดียวกับตน  แต่เนื่องจากลูกชายของเขาเป็นใบ้ไม่สามารถออกเสียงสวดมนต์ได้  เขาจึงจำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลย  และรู้สึกไม่สมหวังดังใจในตัวลูกชายอยู่ลึกๆ  ด้วยเกรงว่าเมื่อเติบใหญ่เป็นผู้ใหญ่แล้ว  ลูกชายจะเป็นคนไม่ยึดมั่นในศาสนา  จนประพฤติตนเป็นคนไม่ดีและสร้างความเดือนร้อนให้แก่ผู้อื่น
วันหนึ่ง  หลังจากที่สวดมนต์ตอนเช้าเสร็จแล้ว  ผู้เป็นพ่อได้เรียกลูกชายให้เข้ามาหาในห้องพระ  แล้วยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้  พร้อมกับบอกว่า
“นี่ลูกเอ๋ย  เจ้าจงนำเงินนี้ไปเลือกซื้อกล้วยหอมที่งามที่สุดมาให้พ่อสักหวีหนึ่งนะ  พ่อจะนำมาทำพิธีบูชาพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเรา…จำไว้นะลูก  ต้องเลือกเอาหวีที่ดีที่สุดเท่านั้น  และเจ้าต้องกลับมาให้ทันก่อนเวลาพระอาทิตย์อยู่ตรงหัวด้วยล่ะ”  ผู้เป็นพ่อกำชับ  ซึ่งลูกชายก็พยักหน้ารับคำเป็นอย่างดี  แล้วออกจากบ้านไป
เวลาผ่านไปกระทั่งบ่ายคล้อยแล้ว  ลูกชายก็ยังไม่กลับมา  ผู้เป็นพ่อรู้สึกโมโหลูกชายเป็นอย่างมากที่กล้าขัดคำสั่ง  เถลไถลไม่ยอมกลับบ้าน  จนทำให้ไม่ได้ทำพิธีบูชาพระพุทธเจ้าดังที่ตั้งใจไว้  เขาเดินหยิบไม้เรียวและยืนจังก้ารอลูกอยู่ตรงประตูบ้าน
หลังจากนั้นไม่นาน  ลูกชายก็กลับมาถึงบ้าน  และทันทีที่ได้เห็นหน้าลูก  ผู้เป็นพ่อก็ตะคอกถามว่า
“มัวไปทั่วเล่นที่ไหนจึงเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้  รู้ไหม…เพราะเจ้ามาช้าพ่อจึงต้องพลาดพิธีบูชาพระพุทธเจ้าในวันนี้ไป”
และเมื่อมองไม่เห็นกล้วยหอมในมือของผู้เป็นลูก  เขาก็รู้สึกโมโหมากขึ้นอีก
“ที่พ่อให้เงินเจ้าไปซื้อกล้วยหอม  เจ้าไม่ได้ทำอย่างนั้นเรอะ  อย่างนั้นก็จงเอาเงินของพ่อคืนมาเสียเดี๋ยวนี้”
แต่ลูกชายไม่มีเงินคืนให้แก่พ่อของเขา  เขาส่ายหน้าและทำไม้ทำมือเพื่อจะสื่อสารอะไรบางอย่าง
ฝ่ายพ่อนั้น  แค่ได้รู้ว่าลูกไม่ได้ซื้อกล้วยหอมและไม่มีเงินกลับมาคืนก็โกรธจนขาดสติ  ด้วยคิดว่าลูกคงเอาเงินไปซื้อขนมจนหมดสิ้น  เขาเงื้อไม้เรียวและกระหน่ำฟาดไปที่น่องของลูกอย่างแรง  เด็กชายได้รับความเจ็บปวดมาก  แต่เขาพูดไม่ได้  จึงได้แต่ส่งเสียงครางขอความเห็นใจจากผู้เป็นพ่อ  ซึ่งขณะนี้ไม่มีแก่ใจรับฟังเสียงเว้าวอนใดๆ  จากลูกชายทั้งสิ้น
“เพราะเจ้าไม่สวดมนต์  เจ้าจึงกลายเป็นคนเลว  ลูกไม่รักดีเช่นเจ้า  สู้ไม่มีเสียเลยจะดีกว่า”  ผู้เป็นพ่อว่า  พร้อมกับลงไม่เรียวบนน่องของบุตรชายต่อไปอย่างไม่ยั้ง
ขณะนั้นเองมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น  ชายผู้เป็นพ่อจึงหยุดเฆี่ยนตีลูกชายแล้วเปิดประตูออกไปดู  พบหญิงแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่  แขนข้างหนึ่งของนางอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยเอาไว้  ส่วนแขนอีกข้างก็คล้องตะกร้าใบใหญ่ที่มีผ้าคลุมปิดของที่อยู่ภายใน
“นางมาเยือนบ้านของข้าด้วยเหตุอันใดหรือ”  ชายผู้เป็นพ่อถามอย่างแปลกใจ  เพราะเขาไม่เคยรู้จักหญิงคนนี้และลูกสาวของเธอมาก่อน
“ข้าและลูกสาวนำของกำนัลมามอบให้แก่ครอบครัวท่าน”  หญิงผู้นี้กล่าวตอบอย่างมีไมตรี
“อย่างนั้นคงจะผิดบ้านแล้ว  เพราะข้าไม่เคยรู้จักนางหรือลูกของนางมาก่อน”  ชายผู้เป็นพ่อปฏิเสธ
“หากท่านเป็นบิดาของบุตรชายใบ้ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา  ก็เห็นจะไม่ผิดหรอก”  นางตอบพร้อมกับแย้มรอยยิ้ม
ชายผู้เป็นพ่อรู้สึกพิศวงมากที่หญิงนางนี้รู้จักลูกชายของเขา  เขาจึงสอบถามเรื่องราวทั้งหมดจากนาง  ซึ่งได้เล่าสิ่งที่เกิดแก่ตนเองในวันนี้ให้ฟังว่า
“ข้าเป็นหญิงม่ายจากต่างเมือง  เมื่อสามีของข้าตาย  เมืองนั้นก็ไร้ซึ่งที่พึ่ง  ข้าจึงต้องอุ้มลูกเดินทางรอนแรมเพื่อมาตามหาญาติที่เหลืออยู่ในเมืองนี้  แต่กว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ต้องใช้เวลานานมาก  เงินที่ติดตัวมาก็ร่อยหรอ  ทำให้ข้าและลูกไม่มีอะไรกินมาสามวันแล้ว
“ขณะที่เรายังตามหาญาติไม่เจอและไม่มีเงินซื้อข้าวกิน  ก็เผอิญเห็นลูกชายของท่านเดินถือกล้วยหอมหวีงามผ่านมาพอดี  ลูกสาวของข้าทนความหิวไม่ไหวจึงวิ่งไปหาลูกชายท่านเพื่อจะขอกล้วยหอมกิน  แต่ยังไม่ทันจะวิ่งไปถึงลูกสาวของข้าก็หมดแรงล้มลงเสียก่อน  ข้าจึงรีบวิ่งตามลูกไป  แล้วก็หมดแรงล้มลงเช่นกัน  ลูกชายของท่านเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาช่วยพวกเรา  แล้วส่งกล้วยหอมให้เราสองแม่ลูกกินทั้งหวี  นอกจากนั้นก็ยังหาน้ำดื่มมาให้เราด้วย  หากไม่มีลูกของท่าน  เราคงหาชีวิตไม่แล้ว  ต้องขอขอบคุณลูกชายของท่านมากจริงๆ”
กล่าวจบหญิงนางนี้ก็ส่งตะกร้าจากมือนางให้แก่ชายผู้เป็นพ่อ  แล้วจากไป
ชายผู้เป็นพ่อเปิดผ้าคลุมออกดูพบว่าในตะกร้าใบนั้นเต็มไปด้วยกล้วยหอมหวีงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต  นอกจากนั้นยังทำให้เขาฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างที่ตนเองไม่เคยคิดมาก่อน
ชายผู้เป็นพ่อรีบกลับเข้าไปในบ้านและตรงเข้าไปสวมกอดลูกชาย  พร้อมทั้งกล่าวคำขอโทษต่างๆ  นานา  เขากล่าวแก่ลูกชายอย่างสำนึกผิดว่า
“ลูกรักของพ่อ  อภัยให้พ่อที่โง่เขลาคนนี้ด้วยเถิด  พ่อนั้นคิดเสมอว่า  การสวดมนต์ด้วยเสียงอันดังจะทำให้พ่อเข้าถึงแก่นแห่งพระธรรมได้  นอกจากนั้นการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยกล้วยหอมอยู่เสมอก็จะทำให้พ่อได้รับแต่สิ่งดีๆ  ในชีวิต  แต่พ่อคิดฉาบฉวยเกินไป  กล้วยหอมของลูกและของพ่อนั้นต่างคุณค่ากันมาก  กล้วยหอมของพ่อมีไว้เพื่อบูชาพระพุทธรูป  แต่แท้จริงแล้วพ่อทำไปเพื่อตัวเองทั้งนั้น  แต่กล้วยหอมของลูกนั้นมีค่าถึงขนาดช่วยชีวิตผู้อื่นให้รอดพ้นจากความตายได้เลยทีเดียว  และพ่อคิดว่าขณะนี้พระพุทธองค์คงกำลังให้พรในความเมตตากรุณาของลูกอยู่ก็เป็นได้

…………………..เธอทั้งหลาย…………………………..
สิ่งใดๆ  ก็ตามในโลกนี้จะมีคุณค่าอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น  เธออาจจะให้ความสำคัญกับบางสิ่งบางอย่างอย่างมากมาย  เพราะคิดว่าสิ่งนั้นช่างมีคุณค่ามากนัก  แต่ถ้าเธอยังไม่ได้ใช้มันให้เกิดประโยชน์จริงๆ  หรือไม่เคยรู้วิธีที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์ใดๆ  เลย  สิ่งนั้นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่านักหรอก

                  ……………………จบเรื่องคุณค่าของกล้วยหอม…………………….

มีลมหายใจเป็นเพื่อนสนิท
มีกัณลยาณมิตรเป็นพระพุทธเจ้า