ศาสตร์แห่งความร่ำรวย ด้วย พลังอำนาจของความคิด ( The Science Of Getting Rich by WillPower )

อำนาจของความคิด

ความคิดนั้นมีอำนาจมหาศาล
เราคิดลบ เราคิดในแง่ร้าย เราย่อมเห็นโลกมืดมัว เมื่อเราเห็นโลกมืดมัว เราย่อมอยู่อย่างหวาดระแวง เมื่อเราใช้ชีวิตหวาดระแวง ไม่ไว้ใจตน ไม่ไว้วางใจผู้อื่น เราย่อมหาคนที่ไว้วางใจได้ยาก เราอาจอยู่อย่างเงียบเหงา เราอาจพบแต่เรื่องร้ายเกี่ยวกับความไว้เนื้อเชื่อใจ
เราคิดอย่างไรก็ได้อย่างนั้น
แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเราคิดว่าเรารวย และเราจะรวยทันที การคิดว่ารวยนั้นแน่นอนว่า นำมาสู่การกระทำ และการวางเป้าหมาย ซึ่งจะทำให้เรารวยได้ในที่สุด แต่กลับกันหากเราไม่ทันสังเกตตนเองว่า มีความคิดอื่นที่ซ่อนอยู่ แม้ปากหรือใจจิตสำนึกบอกว่า “ฉันคิดว่าฉันรวย ทำไมไม่เห็นรวย” เราอาจ
ซ่อนความรู้สึกจนยากไว้ ความรู้สึกว่าฉันขาดแคลน ความคิดที่ยังบอกว่าตัวเองจนอยู่ ความคิดที่ซ่อนอยู่นี้แหละที่กำหนดการกระทำของเรา และทำให้เรายังจนอยู่ร่ำไป
หากเราสะกดจิตหรือโปรแกรมใจเราให้คิดว่า เรารวยโดยรู้เท่าทันความคิดที่ฉุดรั้งเราแล้ว เราจะพบว่าตัวเองร่ำรวยหรืออุดมสมบูรณ์อย่างไร และจะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีทรัพย์สินเพียงพอ ขณะที่คนแบบแรก อาจจะใช้เงินฟุ่มเฟือยและกลับมาเผชิญความจริงที่ว่าเรายังคิดว่าตัวเองจนและขาดแคลนอยู่
เพราะนั้นยังคิดยากจน ใจนั้นยังมองตัวเองไม่มีพอ ไม่ดีพอ

เห็นขุมทรัพย์ในตนเอง

ผู้ร่ำรวยไม่ใช่ผู้กอบโกย หรือคนที่ไขว่คว้าสิ่งภายนอกอย่างไร้สิ้นสุด โดยไม่รู้จักเต็ม ผู้ร่ำรวยคือคนที่เห็นความอุดมสมบูรณ์ หรือความรุ่มรวยในตัวเอง หรือในชีวิตของตน
ตราบที่ผู้ลงทุนชีวิตจะต้องรู้จักทุนที่มีอยู่ ฉันใด ผู้จะประสบความสำเร็จในการใดใดย่อมต้องเห็นขุมทรัพย์ที่ตนเองมี ฉันนั้น
เราจะเดินตามเขา เดินตามเสียงหรือความคิดความเชื่อจากคนอื่น ยอมใจให้ถูกสะกดจิต ถูกชักนำเช่นสัตว์เชื่อง เมื่อเรารู้สึกยากจน รู้สึกขาดแคลน บกพร่อง และไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง
เราถูกสะกดจิตจากสิ่งเร้ารอบข้างที่จงใจชักนำเราได้ง่ายดาย เพราะขาดการตั้งคำถาม และขาดการเห็นขุมทรัพย์ที่ตัวเองมี
เช่นนี้แล้วเราต้องย้อนกลับมา ด้วยความเชื่อมั่นหรืออย่างน้อยสงสัยใคร่รู้ เราและชีวิตเรามีขุมทรัพย์หรือความรุ่มรวยอะไรอยู่บ้าง
ความร่ำรวย เรามักนิยามกันที่เงินทองหรือทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเพียงความรวยด้านหนึ่ง หากเรามีเงินทองมาก แต่ขาดสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตด้านอื่นๆ แล้ว เราก็คือผู้ยากจนอยู่นั่นเอง
สิ่งใดที่มีคุณค่าที่เราควรรักษาและเพิ่มพูนไว้ทั้งในตัวเรา และ ในชีวิตเรา นี่คือคำถามแรกที่สำคัญ ซึ่งเราอาจตอบได้มากมายมหาศาล
เช่นนี้แล้วคือความรุ่มรวยหรือความอุดมสมบูรณ์ที่เราอาจไม่แลเห็น
นี่คือทุนรอนของชีวิตเรา เราจะเพิ่มพูนหรือพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้ว และเติมด้านอื่นที่ขาดไปได้อย่างไร นี่คือคำถามที่สอง
เราอาจมีเพื่อนดีอยู่มาก มีความสามารถ มีคนเกื้อหนุนมีวาจาไพเราะเอาใจเก่ง มีไหวพริบเอาตัวรอดได้ พอมีทรัพย์ที่หล่อเลี้ยงตนและครอบครัวพอดี มีใจที่ฝันใฝ่ แต่หากไร้สุขภาพที่แข็งแรง ทุนรอนชีวิตด้านอื่นๆ ก็พลอยถูกบั่นทอน
สุขภาพดีคือความร่ำรวยที่สำคัญ ซึ่งเราได้มาง่าย และ เสียไปง่าย แต่นำกลับมายากลำบาก
เราไม่ควรลืมว่าสิ่งล้ำค่าในชีวิตเราจริงๆ มีอะไรอยู่บ้าง สิ่งที่เราไขว่คว้า และบ้างตามเขา คือสิ่งล้ำค่าสำคัญจริงๆ หรือไม่

ก้าวเดินด้วยการลงมือทำ

นักสะกดจิตผู้ยิ่งใหญ่ ไม่เพียงคิด สะกดจิตตัวเอง และ ใช้ความรู้สึกอันทรงพลังในจิตใจตนเท่านั้น การสั่งจิตเพื่อพัฒนาชีวิตต้องควบคู่กับการลงมือทำเพื่อไปสู่เป้าหมาย
ครูอาจารย์ด้านนี้จึงไม่เพียงสอนผู้อื่น แต่จะลงมือทำอยู่เป็นนิจ ครูโยคะก็ไม่อาจสอนโยคะได้ หากเขาไม่เคยทำโยคะและไม่ฝึกปรืออยู่สม่ำเสมอ
เทคนิคการสั่งจิตตนเอง และการสั่งจิตคนอื่นให้เห็นผล ต้องเน้นย้ำที่การกระทำ มิใช่เพียงผลลัพธ์เท่านั้น
ถ้าเราต้องการสั่งจิตให้คนอื่นรู้สึกวางใจและเปิดรับความรักใหม่ เราไม่เพียงสั่งจิตเขาว่า “คุณเปิดรับความรักใหม่ วางใจให้ความรักนำทาง” แต่เรายังต้องสั่งจิตให้เขาระลึกถึง ช่วงเวลาก่อนความรักเก่าจะผลิบาน ให้เขาเห็นถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ในธรรมชาติ เห็นตนเองวางใจต่อตนและต่อชีวิต
ใช้ชีวิตและเข้าหาผู้อื่นอย่างเปิดรับ และเห็นตนเองมีความสุข ความสมหวังกับคนรักใหม่ เห็นอย่างเป็นรูปธรรม
หากเราต้องการร่ำรวยและประสบความสำเร็จ เราไม่เพียงสั่งจิตตนเองทุกเช้าว่า “ชีวิตของฉันจะร่ำรวยและประสบความสำเร็จ” เรายังต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนด้วยว่า ร่ำรวยอย่างไร ประสบความสำเร็จด้านใดบ้างและอย่างไร ทำอย่างไร สั่งจิตให้เป็นรูปธรรม และให้ตนนึกถึงวิธีการและการกระทำที่จะพาเราไปสู่เป้าหมาย

แบบฝึกหัดพลังคิด

เราลองตั้งกิจกรรมหนึ่งเพื่อสะกดจิตหรือบ่มเพาะความคิดความเชื่อที่จะเป็นแรงผลักดันชีวิตของเรา
ทางเลือกหนึ่ง เราอาจตั้งกิจกรรมพิเศษ กิจกรรมง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่ท้าทายตัวเราระดับหนึ่ง ตัวอย่างเช่น การออกกำลังกาย การคุยกับเจ้านายให้มากขึ้น การทำจิตอาสาวันละหนึ่งครั้ง เป็นต้น ในช่วงก่อนลงมือทำ หรือระหว่าง หรือหลังจากลงมือทำ คิดลงในใจเพื่อสะกดจิตตนเองบ่มเพาะความคิด
ความเชื่อที่เราต้องการ
ทางเลือกที่สอง เราไม่จำเป็นต้องตั้งกิจกรรมใหม่ แต่ใช้กิจกรรมที่เราต้องทำอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว เช่น การอาบน้ำ การแปรงฟัน การสวดมนต์ก่อนนอน การเปิดดนตรีบรรเลง การกินข้าวเช้า เป็นต้น
การสะกดจิตตนเอง ก่อน – ระหว่าง – หลัง ควรเป็นคำสั่งจิตที่สอดคล้องกับกิจกรรมนั้นๆ เช่น การออกมาทำจิตอาสาเราอาจสั่งจิตตนเองว่า “ฉันมีคุณค่า ฉันเป็นที่ยอมรับและ ชื่นชม” หรือ “ฉันร่ำรวยน้ำใจ และมีสิ่งล้ำค่ามากพอในชีวิต”
เราเลือกเองว่าเราจะใช้ชีวิตวัยชราของเราอย่างไร หากชีวิตเราคือหนังสือเล่มหนึ่ง เราจะใช้ชีวิตแบบหนังสือที่เขียนดีอ่านสนุก แล้วน่าเหนื่อยหน่ายช่วงท้าย หรือสิ้นคิดตอนจบหรือไม่ หรือเราจะเลือกใช้วัยชราเราเยี่ยงหนังสือที่จะจบเล่มลงอย่างสมบูรณ์แบบ แฝงคุณค่าข้อคิด หรือสวยงาม
มิจำเป็นต้องเป็นคนมีอายุมาก คนที่สั่งสมความคิดลบ อารมณ์ร้าย ความลังเล ความสับสน ความกังวล ความทุกข์ใจ ความโกรธ ความชัง ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความอิจฉา และ ความคิดความรู้สึกลบอื่นใด ไว้ในจิตใจ ร่างกายก็พลอยหม่นมัว ไร้ราศีงาม แลเป็นคนชราและป่วยไข้ ทั้งที่เลขอายุยังน้อย
ขณะคนที่แก่วัยแต่ใจยังสดสวย ผิวพรรณหย่อนคล้อยไปบ้าง แต่ยังงามให้เห็น รื่นเริงใจ ใช้ชีวิตมีคุณค่า ไม่บ่นท้อต่อสังขาร คนเหล่านี้ล้วนมีใจที่งาม เห็นคุณค่าในตน ไม่เก็บความคิดลบอารมณ์ร้ายใดใดไว้ในใจ เมล็ดพันธุ์สดสวยในจิตไร้สำนึกผลิเผยออกมาท้ากาลเวลา
ประการที่สอง นอกจากระวังไม่ให้ความคิดความเชื่อ ทำร้ายตัวเราและบั่นทอนสุขภาพจิตสุขภาพกายเราแล้ว เรายังต้องคิดสั่งจิตตนให้เห็นคุณของการดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง

          แม้มั่งมีเงินทอง ก็ยังจนยากแค้น หากไร้ซึ่งสุขภาพที่ร่ำรวย